การนอนกรน คือ อาการที่พบได้ทั่วไปซึ่งจากสถิติการนอนกรนของคนไทยพบว่า ผู้ชายนอนกรนมากถึงร้อยละ 20-30 ส่วนผู้หญิงนอนกรนร้อยละ 10-15 และผู้ที่มีอาการรุนแรงจากการกรนพบได้มากถึงร้อยละ 5 นอกจากนี้เด็กก็ยังสามารถเป็นโรคนอนกรนได้เช่นกัน หลายคนอาจกังวลใจว่าคนใกล้ตัวรวมถึงตัวคุณเองมีอาการนอนกรนเป็นประจำ ทำให้รบกวนคนรอบข้างและอาจกังวลใจว่ามันปกติหรือไม่? จะเป็นอันตรายถึงชีวิตไหม? มาหาคำตอบกัน
สาเหตุของการนอนกรน
การนอนกรนที่พบได้บ่อยมีสาเหตุมาจากปัจจัย ดังนี้
- ความเหนื่อยล้า หากร่างกายมีการทำกิจกรรมที่เหนื่อยตลอดทั้งวันก็ส่งผลให้กรนได้เช่นกัน
- การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- การนอนหงายเป็นประจำ
- มีไขมันช่องคอหนา
- ผู้ที่เป็นโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน
- ผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน จะมีอาการนอนกรนเพิ่มขึ้น
ส่วนอาการนอนกรนที่พบได้ไม่ค่อยบ่อยมากนักมักมีสาเหตุมาจากปัจจัย ดังนี้
- สันจมูกมีรูปร่างคดหรือเบี้ยว
- รูปหน้าหรือคางผิดปกติ เช่น คางเล็ก หรือลิ้นไก่ใหญ่ โคนลิ้นอ้วน เป็นต้น
- เป็นโรคภูมิแพ้ที่มีอาการบริเวณจมูกทำให้ช่องจมูกตีบตัน
- การรับประทานยาชนิดที่ทำให้เกิดการระคายเคืองที่ระบบทางเดินหายใจ
นอนกรน อันตรายถึงชีวิตหรือไม่?
การนอนกรน เป็นอาการที่พบได้ทั่วไปผู้ที่มีอาการนี้อาจมองข้ามสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงโรคได้ โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งอาการนอนกรนได้เป็น 2 ประเภท คือ
-
การนอนกรนแบบธรรมดา
เป็นอาการกรนที่ไม่อันตราย แต่ก็ก่อให้เกิดความรำคาญต่อคนรอบข้างโดยเฉพาะคู่นอนได้ ซึ่งอาการกรนประเภทนี้จะเกิดจากช่องทางเดินหายใจตีบแคบลงเพียงบางส่วน ไม่ได้ปิดสนิททั้งหมด อากาศจึงไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายได้จึงไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต
-
การนอนกรนแบบอันตราย
การนอนกรนแบบอันตรายคือการที่ช่องทางเดินหายใจแคบลงจนปิดสนิททำให้อากาศไม่สามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้จึงทำให้เกิด ‘ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)’ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ผู้ที่เข้าข่ายนอนกรนแบบอันตรายนั้นมักมีอาการดังนี้
- กรนสลับกับหยุดหายใจเป็นบางช่วง
- กรนแล้วสะดุ้งเฮือกเพื่อหายใจ
- ปวดปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน
- ตอนกลางวันจะรู้สึกเพลียและง่วงมากผิดปกติ
- มีอาการสะดุ้งตื่น ผวา และหายใจแรงเหมือนขาดอากาศหายใจ
- นอนละเมอ ฝันร้าย หรือนอนหลับไม่สนิทและมีเหงื่อออกมากผิดปกติขณะหลับ
- ตื่นมาแล้วรู้สึกไม่สดชื่นและปวดหัว
- ความจำถดถอย ไม่มีสมาธิในการทำงาน
- หลับในระหว่างขับรถ
- มีความดันโลหิตสูงขึ้น
คุณสามารถสังเกตอาการของตัวเองได้โดยการบันทึกเสียงขณะนอนหลับหรือให้คนใกล้ตัวช่วยสังเกตว่ามีอาการดังกล่าวนั้นหรือไม่ หากมีควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจ Sleep test และทำการรักษาต่อไปเพราะหากละเลยหรือปล่อยไว้นาน ๆ จะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ยกตัวอย่างเช่น
- เสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง
- อาจเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือดหรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้
- ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองและโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
- อาจะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคซึมเศร้า
- อาจทำให้เกิดภาวะ Stroke จนเป็นอัมพฤกษ์และอัมพาตได้
วิธีรักษาอาการนอนกรน
หากคุณกังวลใจว่าการนอนกรนของคุณจะเป็นอันตรายหรือไม่ สามารถตรวจโดยการทำ Sleep test ซึ่งสามารถตรวจได้ทั้งที่บ้านและที่โรงพยาบาล แต่ตรวจเองที่บ้านราคาจะประหยัดกว่าและวัดผลได้น้อยกว่าการทำที่โรงพยาบาล หากคุณทำการทดสอบแล้วอยากรักษาอาการนอนกรนให้หายไปก็สามารถเลือกแนวทางในการักษาได้ 2 วิธี ดังนี้
-
รักษาด้วยวิธีการทางการแพทย์ มี 3 วิธี
-
- การใช้เครื่องอัดอากาศ CPAP เป็นการอัดอากาศผ่านทางจมูกสู่ช่องคอเพื่อทำให้ช่องทางเดินหายใจไม่ตีบแคบลง
- การใช้ที่ครอบฟัน เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยดึงขากรรไกรล่างให้ยืดออกมา ทำให้โคนลิ้นถูกยกขึ้นเพื่อช่วยขยายช่องทางเดินหายใจ
- การผ่าตัด สามารถผ่าตัดได้หลายวิธีเช่น การผ่าตัดต่อมทอลซิล การใช้คลื่นวิทยุจี้ การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อน การผ่าตัดบริเวณโคนลิ้น การผ่าตัดเลื่อนกรามและขากรรไกร หรือการฝังไหมพิลล่า เป็นต้น
-
การรักษาด้วยตัวเอง
เป็นการแก้ไขอาการกรนแบบธรรมดาที่ไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย ซึ่งคุณสามารถแก้ไขได้ตัวเองตามวิธีการดังนี้
-
- หากคุณเป็นคนที่ชอบนอนหงายให้ลองเปลี่ยนท่านอนดู เพราะท่านี้เป็นท่าที่ทำให้เกิดอาการกรนได้ง่ายมากที่สุด ลองปรับเปลี่ยนเป็นนอนตะแคงข้างหรือนอนหมอนสูงเพื่อยกระดับศีรษะให้สูงขึ้น
- ใช้น้ำเกลือล้างจมูกเป็นประจำก่อนนอนเพื่อทำให้จมูกโล่ง
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน
- งดการดื่มชาหรือกาแฟก่อนนอน
- พยายามหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่ทำให้ระบบทางเดินหายใจผิดปกติ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพราะเมื่อน้ำหนักลดลงไขมันในช่องคอก็จะลดลงด้วยทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะจะทำให้ช่องทางเดินหายใจแข็งแรงขึ้นเมื่อหลับกล้ามเนื้อต่าง ๆ ในช่องคอก็จะไม่หย่อนลงมาขวางทางเดินระบบหายใจ นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างภูิมต้านทานที่แข็งแรงให้กับร่างกายได้อีกด้วย
- หมั่นทำความสะอาดเครื่องนอนอย่างสม่ำเสมอ เพราะสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคอาจทำให้เกิดหอบหืดหรือภูมิแพ้ได้ ทำให้ช่องทางเดินหายใจตีบแคบลง
- เพิ่มความชื้นในห้องนอนโดยการนำแก้วใส่น้ำมาวางไว้ข้างเตียงนอนหรือใช้เครื่องเพิ่มความชื้น
ปัญหาการนอนกรนคุณอาจจะมองว่าเป็นเรื่องปกติที่พบได้ทั่วไปจึงมักถูกมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วนอกจากจะเป็นการสร้างความรำคาญใจให้กับคู่นอนของคุณและอาจจะเป็นปัญหาต่อความสัมพันธ์ได้แล้วนั้น ยังก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้หากคุณมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ดังนั้นเมื่อคุณมีลักษณะอาการตามการกรนที่เป็นอันตราย ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาแนวทางในการรักษาร่วมกันต่อไป
อ้างอิง