จากข้อมูลของ ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทยเผยว่า สถิติของคนไทยต้องเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลันถึงชั่วโมงละ 2 คน เพราะผู้ที่มีอาการในระยะแรกจะไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ เลย รู้ตัวอีกทีก็อาจจะเริ่มมีอาการเจ็บหน้าอกจนเหมือนถูกรถเหยียบจึงรู้ว่าตัวเองอาจเกิดภาวะ หัวใจวาย เฉียบพลันได้ ที่สำคัญวัยหนุ่มสาวหรือวัยทำงานก็สามารถเป็นได้เช่นกัน ฉะนั้นเเล้วเราจึงควรทราบถึงสาเหตุของการเกิดโรคนี้เพื่อเตรียมตัวรับมือและป้องกันก่อนที่อาจจะสายเกินไป
หัวใจวายเฉียบพลัน เกิดจากอะไร?
หัวใจวายเฉียบพลันหรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า ‘ภาวะหัวใจขาดเลือด’ คือภาวะที่หัวใจไม่สามารถปั๊มเลือดเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ ซึ่งถ้าให้เปรียบหน้าที่ของหัวใจก็คงเปรียบได้กับปั๊มน้ำที่คอยส่งน้ำไปยังส่วนต่าง ๆ ของบ้าน หากปั๊มน้ำอ่อนแรงก็จะไม่สามารถส่งออกเพื่อนำไปใช้งานได้ ก็เหมือนกับหากหัวใจเริ่มอ่อนแรงและไม่สามารถปั๊มเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายก็จะเริ่มเข้าสู่ภาวะขาดเลือดทำให้เกิดอาการวูบหรือเป็นลมได้ หากเกิดภาวะขั้นรุนแรงจนน้ำท่วมปอดทำให้หายใจไม่ทันจะทำให้หัวใจล้มเหลวและหยุดเต้นจนเสียชีวิตได้ทันที โดยคุณต้องหมั่นสังเกตอาการของตัวเองว่ามีสัญญาณเตือนโรคหัวใจหรือไม่ ซึ่งทั่วไปมักมีอาการ ดังนี้
- ระยะแรก : รู้สึกเหนื่อยง่ายเวลาออกแรงหรือออกแรงได้น้อยลง
- ระยะสอง : จากที่เคยทำกิจวัตประจำวันได้ปกติ จะรู้สึกเหนื่อยแบบที่ไม่เคยเหนื่อยมาก่อนทั้งที่ทำแบบเดิมทุกวัน
- ระยะสาม : ไม่ว่าจะนั่งอยู่เฉย ๆ หรือนอนราบก็จะรู้สึกเหนื่อยและมีอาการไอ ขาบวม รวมไปถึงน้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปกติ
โดยทั่วไปแล้ว อาการในระยะที่ 1 และ 2 ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจ แต่หากคุณมีอาการเหมือนในระยะที่ 3 ควรไปพบแพทย์ทันทีเพราะอันตรายมากจนอาจทำให้หัวใจเกิดภาวะล้มเหลวจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
10 พฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
-
กินอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำทุกวัน
อาหารจำพวกที่มีคอลเลสเตอรอลสูงอย่าง ขนมหวาน ขนมเค้ก ชีส เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารสำเร็จรูป ฟาสฟู๊ด หรืออาหารปิ้งย่าง ที่ส่งผลทำให้เกิดภาวะไขมันในเลือดและคลอเลสเตอรอลสูงจนไปอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิดอาการกล้าเนื้อหัวใจขาดเลือดได้
-
การสูบบุหรี่จัด
บุหรี่ คือต้นเหตุที่ทำให้หลอดเลือดหัวใจหดตัว ทำให้หลอดเลือดหัวใจเกิดอาการตีบลงจนเกิดภาวะหัวใจขาดออกซิเจน ส่งผลให้เกิดอาการจุก เสียด เจ็บหน้าอก และเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้
-
ความเครียด
ในหนุ่มสาววัยเรียนหรือวัยทำงานหากมีความเครียดสูงก็อาจก่อให้เกิดโรคนี้ได้ เพราะเมื่อคุณเครียดหัวใจจะเต้นผิดจังหวะจนมีโอกาสเกืดโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว ทำให้มีไขมันหรือการอักเสบต่าง ๆ เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือดและอุดตัน จึงเสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือดเป็นอย่างยิ่ง
-
ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของ คาเฟอีน มากเกินไป
สำหรับผู้ที่ชอบดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นประจำอย่าง ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง ฯลฯ จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะเสียสมดุลของสารเกลือแร่จนเกิดอาการชักเกร็ง หลังแอ่น ปอดแฟบ ความดันโลหิตพุ่งสูงอย่างเฉียบพลัน รวมถึงหัวใจเกิดอาการบีบรัดมากเกินไป ส่งผลไปที่ระบบทางเดินหายใจและระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลวจนเสียชีวิตได้
-
การใช้สารเสพติด
การใช้ยาเสพติดอย่าง โคเคน แอมเฟตามีน อาจทำให้หลอดเลือดมีการหดตัวอย่างรุนเเรง ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวายเฉียบพลันได้
-
ความอ้วน
ผู้ที่เป็นโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักเกินมาตรฐานส่วนใหญ่มักจะเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายตามมา เช่น โรคเบาหวาน ความดันโรหิตสูง และโรคหัวใจ สาเหตุมาจากการที่มีไขมันในเลือดสูง ส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตติดขัด ซึ่งอาจทำให้ร่างกายขาดเลือดและเสียชีวิตกระทันหันได้
-
ออกกำลังกายหนักเกินไป
สำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้วทั้งแบบที่รู้ตัวกับไม่รู้ตัว การออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมคุ้มกันที่แข็งแรงนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่หากออกกำลังหนักเกินไปก็อาจเป็นการเพิ่มภาระให้ระบบหัวใจและปอดทำงานหนักมากขึ้น จนสูญเสียความสามารถในการทำงานได้เช่นกัน ดังนั้น หากออกกำลังกายแล้วรู้สึกเหนื่อนหอบจนไม่สามารถพูดได้ ควรชะลอการออกกำลังกายและหยุดพักทันที ห้ามฝืนต่อเพราะเสี่ยงเสียชีวิตได้
-
ออกกำลังกายไม่เพียงพอ
หากคุณเป็นคนที่ไม่ออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนทำให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือดและส่งผลให้หัวใจขาดเลือดได้
-
ภาวะช็อก
การเกิดอาการช็อกมักเกิดกับผู้ที่สูญเสียเลือดในปริมาณมาก เช่น ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุเสียเลือดมาก ทำให้หัวใจมีเลือดไปหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอและเกิดอาการขาดเลือดได้
-
เกิดเรื่องที่สะเทือนจิตใจอย่างรุนแรง
ผู้ที่มีความเครียดมาก ๆ กับเรื่องที่มากระทบจิตใจอย่างรุนแรงทางการแพทย์จะเรียกว่า ‘ภาวะหัวใจสลาย’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ ‘โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติทาโคสึโบะ’ เช่น สูญเสียคนรักอย่างกระทันหันหรือเจอความผิดหวังหนัก ๆ ทำให้หลอดเลือดหัวใจจะแข็งตัวทันที เลือดจึงไม่สามารถผ่านไปเลี้ยงหัวใจได้ ซึ่งอาจทำให้หัวใจล้มเหลวและรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
อาการของผู้ที่มีโอกาส ‘หัวใจวายเฉียบพลัน’
ผู้ที่มีโอกาสเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันมักจะเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ ก่อนหน้านี้เลยเพราะชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า เฉียบพลัน แต่หากคุณสังเกตุตัวเองหรือคนรอบข้างว่ามีอาการ ดังนี้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
- มีอาการเจ็บหน้าอกเฉียบพลันมากกว่า 20 นาที
- มีเหงื่อออกตามร่างกายและเหนื่อยง่าย
- ชีพจรเต้นเร็ว หายใจถี่
- วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด อาเจียน
- ปวดจุกที่ท้องบริเวณลิ้นปี่ ปวดร้าวไปที่กราม หรือไหล่ด้านซ้ายโดยเฉพาะ
หากคุณพบเห็นผู้ที่มีอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ถ้าพวกเขาได้รับการช่วยเหลืออย่างถูกวิธีและทันเวลา ก็จะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้ โดยการช่วยเหลือเบื้องต้นมี ดังนี้
- หากผู้ป่วยหมดสติให้เขย่าตัวดูว่ายังมีการตอบสนองอยู่หรือไม่
- หากไม่มีการตอบสนองให้สังเกตว่าผู้ป่วยมีการกระตุก ชักเกร็ง หายใจเฮือกหรือไม่ ถ้าใช่ให้สันนิฐานไว้ก่อนว่าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
- รีบแจ้งไปที่เบอร์ฉุกเฉินและช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานด้วยการนวดหัวใจหรือทำ CPR เพื่อช่วยให้หัวใจบีบเลือดออกไปเลี้ยร่างกาย
วิธีดูแลตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
- ควบคุมน้ำหนักให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานเพื่อไม่ให้ไขมันในเลือดสูงเกินไป
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน โดยไม่กินอาหารฟาสฟู๊ดหรืออาหารสำเร็จรูปเป็นประจำทุกวัน
- รับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในการลดไขมันในร่างกาย เช่น อาหารธัญพืชเพื่อสุขภาพ
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรังอย่างโรคเบาหวานและความดัน
- หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่จัด
- จัดการกับความเครียดเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดความเครียดจัด
- พักผ่อนให้เพียงพอ
แม้ภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายเฉียบพลันจะสามารถรักษาได้แต่มันก็เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษา ทางที่ดีเราควรหันมาสนใจสุขภาพของหัวใจเพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงกัน ซึ่งปัจจุบันโรคนี้ผู้ที่มีอายุน้อยก็สามารถเป็นได้เพราะส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยใส่ใจสุขภาพมากนัก ทั้งการกินอาหารฟาสฟู๊ดหรืออาหารรสเค็มจัด หวานจัดก็ถือว่าเป็นพิษต่อหัวใจและทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้แม้อายุน้อย
อ้างอิง